โรงงานอุตสาหกรรม หรือสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีไวไฟ ก๊าซ หรือฝุ่นละอองที่สามารถติดไฟได้ จำเป็นต้องให้ความสำคัญด้านความปลอดภัยเป็นอันดับต้น ๆ ดังนั้นเพื่อสร้างความตระหนักรู้ที่ถูกต้อง และช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าใจเกี่ยวกับการจำแนกพื้นที่อันตรายมากขึ้น เราจะมาแนะนำหลักเกณฑ์ในการประเมินความเสี่ยง ไปจนถึงแนวทางการเลือกใช้โคมไฟในพื้นที่อันตรายให้เหมาะสมกับแต่ละโซน เพื่อความปลอดภัยสูงสุดในทุกการใช้งาน
สำหรับพื้นที่เสี่ยงที่ต้องให้ความสำคัญกับการเลือกใช้โคมไฟมักเป็นพื้นที่ในโรงงานอุตสาหกรรม โดยเฉพาะบริเวณเหล่านี้
พื้นที่เหล่านี้มีความเสี่ยงสูง เนื่องจากมีการใช้และจัดเก็บสารเคมีไวไฟในปริมาณมาก หากเกิดการรั่วไหลแม้เพียงเล็กน้อยผสมกับออกซิเจนในอากาศ ประกอบกับมีประกายไฟจากอุปกรณ์ไฟฟ้า อาจนำไปสู่การระเบิดร้ายแรงได้
ห้องผสมสีและสารละลายเป็นอีกพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง เนื่องจากไอระเหยจากสารเหล่านี้มีคุณสมบัติไวไฟ และมักมีความเข้มข้นสูงในบริเวณที่มีการระบายอากาศไม่เพียงพอ หากเกิดประกายไฟเล็กน้อยก็สามารถจุดติดไฟและลุกลามอย่างรวดเร็ว
อุตสาหกรรมปิโตรเลียมและก๊าซธรรมชาติเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ความเสี่ยงสูง เนื่องด้วยมีกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการกลั่น การแยก และการจัดเก็บสารไฮโดรคาร์บอนที่ไวไฟ จึงต้องมีการออกแบบระบบแสงสว่างและอุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีความปลอดภัยสูงเป็นพิเศษ
หลายคนอาจไม่รู้ว่า บริเวณที่มีฝุ่นแป้งในอากาศเข้มข้นสูง เช่น โรงสีข้าว โรงงานผลิตแป้ง หรือโรงงานผลิตอาหารที่มีการใช้แป้งในปริมาณมาก สามารถติดไฟและเกิดการระเบิดได้ จึงจัดเป็นพื้นที่อันตรายที่ต้องมีการควบคุมและป้องกันเป็นพิเศษ
สถานที่จัดเก็บวัตถุไวไฟ เช่น น้ำมัน ก๊าซ อะซิโตน เป็นพื้นที่ที่ต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง การออกแบบระบบไฟฟ้าและแสงสว่างที่ไม่เหมาะสมอาจนำไปสู่อุบัติเหตุร้ายแรงที่สร้างความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สิน
แม้แต่บริเวณที่อาจมีไอระเหยของสารไวไฟลอยอยู่ในอากาศ เช่น พื้นที่รอบถังเก็บน้ำมัน บริเวณที่มีท่อส่งก๊าซ หรือพื้นที่ที่มีการระบายอากาศไม่ดี ก็จัดเป็นพื้นที่อันตรายที่ต้องมีการจัดการเรื่องอุปกรณ์ไฟฟ้าและแสงสว่างอย่างรัดกุมเช่นกัน
การจำแนกพื้นที่อันตราย ไม่ใช่เพียงแค่การปฏิบัติตามกฎระเบียบ แต่ยังมีความสำคัญในหลายประการ ดังนี้
การจำแนกพื้นที่อันตรายอย่างถูกต้องช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถกำหนดมาตรการป้องกันที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้อุปกรณ์ไฟฟ้า ระบบแสงสว่าง หรือการวางระบบควบคุมอื่น ๆ ซึ่งช่วยให้การลงทุนด้านความปลอดภัยมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า
การจำแนกพื้นที่ช่วยให้สามารถเลือกใช้อุปกรณ์ไฟฟ้า และโคมไฟพื้นที่อันตรายได้อย่างเหมาะสม ลดโอกาสเกิดการระเบิดหรือเพลิงไหม้ ซึ่งจะช่วยป้องกันการบาดเจ็บหรือเสียชีวิตของพนักงาน และลดความเสียหายต่อทรัพย์สินของบริษัท
การจำแนกพื้นที่อันตรายเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยสากลอย่าง ATEX, IECEx หรือ NEC ซึ่งเป็นข้อกำหนดที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก การปฏิบัติตามมาตรฐานเหล่านี้ไม่เพียงช่วยยกระดับความปลอดภัย แต่ยังเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมอีกด้วย
หัวใจสำคัญของการป้องกันการระเบิดคือการควบคุมแหล่งกำเนิดประกายไฟ การจำแนกพื้นที่อันตรายช่วยให้สามารถออกแบบระบบแสงสว่าง สายไฟฟ้า และอุปกรณ์ในพื้นที่เสี่ยงให้เป็นไปอย่างถูกต้องตามข้อกำหนดความปลอดภัย ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดประกายไฟที่อาจจุดชนวนการระเบิดขึ้นมาได้
การจำแนกพื้นที่อันตราย มีหลักเกณฑ์ที่ใช้ในการประเมินความเสี่ยงและวางมาตรการป้องกันให้เป็นไปอย่างแม่นยำ โดยแบ่งได้เป็น 2 ส่วน คือ
พื้นที่ที่มีความเสี่ยงจากไอน้ำมัน ก๊าซ หรือไอระเหยไวไฟ เช่น โรงกลั่นน้ำมัน โรงงานปิโตรเคมี หรือสถานีบริการน้ำมัน โดยแบ่งย่อยตามคุณสมบัติการติดไฟและความรุนแรงในการระเบิดเป็นกลุ่ม IIA, IIB และ IIC (เรียงจากความรุนแรงน้อยไปมาก) โดย IIC เป็นกลุ่มที่มีความไวต่อการจุดระเบิดสูงสุด เช่น ไฮโดรเจน และอะเซทิลีน
พื้นที่ที่มีฝุ่นติดไฟได้ลอยในอากาศ เช่น โรงสีข้าว โรงงานแปรรูปอาหาร หรือโรงงานแปรรูปไม้ โดยแบ่งเป็นกลุ่ม IIIA (เส้นใยที่ติดไฟได้) IIIB (ฝุ่นที่ไม่นำไฟฟ้า) และ IIIC (ฝุ่นที่นำไฟฟ้าได้) ซึ่งมีความเสี่ยงสูงที่สุด
โซน (Zone) |
โอกาสการเกิดอันตราย |
ตัวอย่าง |
Zone 0 (Division 1) |
พื้นที่ที่มีสารไวไฟหรือบรรยากาศที่อาจเกิดการระเบิดอยู่ตลอดเวลา หรือเป็นเวลานานต่อเนื่อง |
บริเวณภายในถังเก็บน้ำมันหรือสารเคมีไวไฟ |
Zone 1 (Division 1) |
พื้นที่ที่มีโอกาสเกิดบรรยากาศที่อาจระเบิดได้ในสภาวะการทำงานปกติ |
บริเวณที่มีการถ่ายเทสารไวไฟเป็นประจำ |
Zone 2 (Division 2) |
พื้นที่ที่ไม่น่าจะเกิดบรรยากาศที่อาจระเบิดได้ในสภาวะการทำงานปกติ และหากเกิดขึ้นก็จะเกิดในระยะเวลาสั้น ๆ |
บริเวณที่อาจมีการรั่วไหลของสารไวไฟในกรณีที่อุปกรณ์เกิดความผิดปกติหรือเสียหาย |
หมายเหตุ : มาตรฐาน NEC (อเมริกา) จะแทน Zone 0-2 ด้วย Division 1-2 แต่อยู่บนหลักการเดียวกัน
การเลือกโคมไฟในพื้นที่อันตราย ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น โดยมีข้อควรพิจารณาดังนี้
โคมไฟที่นำมาใช้ในพื้นที่อันตรายต้องผ่านการรับรองมาตรฐาน เช่น ATEX, IECEx หรือ UL ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันว่าโคมไฟนั้น ปลอดภัยสำหรับการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่เสี่ยงต่อการระเบิด
สิ่งสำคัญประการต่อมาคือควรเลือกโคมไฟที่ได้รับการรับรองสำหรับ Zone ที่ต้องการติดตั้ง เช่น Zone 0, Zone 1 หรือ Zone 2 โดยการเลือกใช้โคมไฟที่ได้มาตรฐานต่ำกว่า Zone ที่กำหนด อาจนำมาซึ่งความเสี่ยงที่ร้ายแรง และอาจก่อให้เกิดการระเบิดขึ้นได้
โคมไฟพื้นที่อันตรายควรผลิตจากวัสดุที่แข็งแรงทนทาน ทนต่อการกัดกร่อน ทนความร้อน และมีโครงสร้างที่ปิดสนิท เพื่อป้องกันการแทรกซึมของไอระเหย ก๊าซ หรือฝุ่นละอองเข้าสู่ภายในโคมไฟ ซึ่งอาจก่อให้เกิดประกายไฟและจุดระเบิดได้
โคมไฟ LED เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับใช้งานในพื้นที่อันตราย เนื่องจากมีประสิทธิภาพการส่องสว่างสูง กินไฟน้อย มีอายุการใช้งานยาวนาน และมีอุณหภูมิในการทำงานที่ต่ำกว่าโคมไฟแบบเดิม ๆ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดความร้อนสูงเกินไป อีกทั้งยังช่วยลดต้นทุนค่าไฟฟ้าในระยะยาว
โคมไฟพื้นที่อันตรายจะมีราคาสูงกว่าโคมไฟทั่วไป แต่เมื่อพิจารณาถึงความปลอดภัย อายุการใช้งานที่ยาวนาน การประหยัดพลังงาน และการลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุแล้ว ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าอย่างยิ่งในระยะยาว โดยควรเลือกซื้อจากผู้จำหน่ายที่น่าเชื่อถือ มีบริการหลังการขายที่ดี เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้รับสินค้าที่มีคุณภาพและปลอดภัย
การลงทุนในระบบแสงสว่างที่มีความปลอดภัยอาจเป็นต้นทุนที่สูง แต่เมื่อเทียบกับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากอุบัติเหตุ นับว่ามีความคุ้มค่าอย่างยิ่งสำหรับทุกอุตสาหกรรม
หากกำลังมองหาโคมไฟพื้นที่อันตรายที่ปลอดภัย มีประสิทธิภาพสูง และมีอายุการใช้งานยาวนาน เลือกโคมไฟกันระเบิดราคาคุ้มค่า จาก Boviga สนใจติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ทาง LINE ID: @boviga หรือโทร. 02-114-3656
ข้อมูลอ้างอิง