การเลือกหลอดไฟที่มีคุณภาพไม่เพียงแต่ช่วยในการมองเห็นและสร้างบรรยากาศที่ดีในบ้านหรือที่ทำงาน แต่ยังสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายในระยะยาวได้ด้วย ดังนั้นสำหรับคนที่กำลังลังเลว่า ระหว่างหลอดไฟนีออนหรือหลอด Fluorescent กับหลอดไฟ LED ควรเลือกแบบไหนดี เราจะมาเปรียบเทียบความแตกต่าง เพื่อช่วยให้คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น
หลอดฟลูออเรสเซนซ์ หรือที่รู้จักกันในชื่อหลอดนีออนคือหลอดไฟที่ใช้เทคโนโลยีการปล่อยแสงจากการเรืองแสงของสารฟลูออเรสเซนซ์ภายในหลอดเมื่อเกิดกระแสไฟฟ้า หลักการทำงานของหลอดฟลูออเรสเซนซ์จะทำงานโดยการส่งกระแสไฟฟ้าผ่านไอปรอทที่อยู่ภายในหลอดแก้ว ทำให้เกิดรังสีอัลตราไวโอเลต และเมื่อรังสีนี้กระทบกับสารฟลูออเรสเซนซ์ที่เคลือบอยู่ภายในหลอด จะเปลี่ยนเป็นแสงสีขาวอย่างที่เราคุ้นเคยกัน
สำหรับคนที่สงสัยว่าหลอดไฟนีออนมีกี่แบบ ในปัจจุบันที่ได้รับความนิยมมีดังนี้
หลอดฟลูออเรสเซนซ์ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 26 มิลลิเมตร มีทั้งขนาด 18W และ 36W ให้แสงสว่างที่เหมาะสมสำหรับพื้นที่ขนาดใหญ่ นิยมใช้มากที่สุดในสำนักงาน โรงงาน และอาคารพาณิชย์
หลอดไฟนีออนชนิดนี้ มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 16 มิลลิเมตร ขนาดกะทัดรัดกว่า T8 แต่ให้แสงสว่างได้มากกว่าเมื่อเทียบกับขนาด เหมาะสำหรับใช้ในสถานที่ทำงาน สำนักงานออฟฟิศ โรงงาน และคลังสินค้า
หลอดไฟนีออนประเภทนี้ รูปทรงจะเป็นแบบเกลียวหรือรูปตัว U สามารถใช้กับโคมไฟบ้านทั่วไปที่แต่เดิมใช้หลอดไส้ ขนาดที่ได้รับความนิยมมีตั้งแต่ 8W, 11W, 15W, 18W และ 23W เหมาะสำหรับห้องนั่งเล่น ห้องนอน หรือพื้นที่ที่ต้องการแสงอบอุ่น
หลอดไฟ LED (Light Emitting Diode) มีกระบวนการเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าให้เป็นแสง เริ่มต้นด้วยการส่งอิเล็กตรอนผ่านวัสดุเซมิคอนดักเตอร์ ทำให้เกิดการปลดปล่อยแสงออกมา โดยไม่ต้องใช้ความร้อน เทคโนโลยี LED นี้จึงมีประสิทธิภาพในการแปลงพลังงานเป็นแสงสูงมาก
นอกจากนี้ หลอดไฟ LED ยังมีข้อดีอีกหลายด้าน เช่น การใช้พลังงานน้อยกว่า อายุการใช้งานยาวนาน รวมถึงการให้แสงที่สว่างขึ้นทันทีเมื่อเปิดใช้งาน อีกทั้งยังมีรูปแบบที่หลากหลายเหมาะกับการใช้งานทั้งในบ้านและในเชิงพาณิชย์
เพื่อให้สามารถตัดสินใจเลือกใช้งานระหว่างหลอดไฟนีออนกับหลอดไฟ LED ได้ง่ายขึ้น เราได้รวบรวมข้อมูลเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น
คุณสมบัติ |
หลอดฟลูออเรสเซนซ์ (Fluorescent) |
หลอดไฟ LED (Light Emitting Diode) |
การประหยัดพลังงาน |
ประหยัดพลังงานมากกว่าหลอดไส้ แต่ยังคงใช้พลังงานมากกว่าหลอด LED |
ประหยัดพลังงานสูงกว่าหลอดฟลูออเรสเซนซ์อย่างเห็นได้ชัด |
อายุการใช้งาน |
เฉลี่ยประมาณ 8,000-15,000 ชั่วโมง |
เฉลี่ยประมาณ 25,000-50,000 ชั่วโมงหรือมากกว่า |
คุณภาพของแสง |
แสงอาจมีการกะพริบเล็กน้อย (Flicker) ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการเมื่อยล้าทางสายตาได้ |
มีรุ่นที่เป็น Flicker free ให้แสงสว่างคงที่ ไม่มีอาการกะพริบ และสามารถเลือกค่าอุณหภูมิสีได้หลากหลายกว่า |
ต้นทุนเริ่มต้น |
มีราคาถูกกว่าหลอด LED |
มีราคาสูงกว่า แต่คุ้มค่าในระยะยาว |
ความปลอดภัย |
ภายในหลอดมีสารปรอท (Mercury) ซึ่งเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมหากทิ้งอย่างไม่ถูกวิธี |
ไม่มีสารปรอทและสารเคมีที่เป็นอันตราย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม |
การให้แสงสว่าง |
ต้องใช้เวลาอุ่นเครื่องเล็กน้อยในการให้แสงสว่างเต็มที่ |
ให้แสงสว่างทันทีที่เปิดใช้งาน |
การบำรุงรักษา |
เปลี่ยนบ่อย และมีอุปกรณ์ที่ต้องเปลี่ยนหลายตัว |
เปลี่ยนน้อย บำรุงรักษาง่าย |
ได้เห็นถึงความแตกต่างของหลอดไฟทั้งสองแบบกันไปแล้ว คงจะพอเข้าใจว่าทำไมหลอดไฟ LED ถึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่าในหลาย ๆ ด้าน ทั้งในเรื่องของการประหยัดพลังงาน อายุการใช้งานที่ยาวนาน ความปลอดภัย และคุณภาพของแสงที่สม่ำเสมอ แต่ถึงแม้จะมีต้นทุนเริ่มต้นที่สูงกว่า แต่ผลลัพธ์ที่ได้ในระยะยาวถือว่าคุ้มค่าทีเดียว
สำหรับคนที่สนใจเปลี่ยนมาใช้หลอด LED ขอแนะนำให้ลองพิจารณาหลอดไฟ LED T8 ที่สามารถใช้แทนหลอดฟลูออเรสเซนซ์แบบเดิมได้เลย ไม่ต้องยุ่งยากเรื่องการเดินระบบใหม่ หรือถ้าใครต้องการติดตั้งระบบแสงสว่างที่เหมาะกับการใช้งานทั้งที่บ้านหรือที่ทำงาน Boviga พร้อมให้บริการแบบครบวงจร มีสินค้าคุณภาพให้เลือกหลากหลายรูปแบบ
หากคุณพร้อมที่จะเปลี่ยนบรรยากาศในบ้านหรือที่ทำงานให้สว่างและประหยัดพลังงานยิ่งขึ้น ติดต่อสอบถามได้เลยที่ Line:@boviga หรือโทร02-114-3656
ข้อมูลอ้างอิง