ติดต่อฝ่ายขาย Line: @boviga,  Tel. 02-114-3656 Email: sales@boviga.com

หลอดไฟ LED ในบ้านควรใช้กี่วัตต์ ? พร้อมคำแนะนำการเลือก

June 25, 2025 2 min read

ไขข้อข้องใจ หลอดไฟ LED ในบ้านควรใช้กี่วัตต์ ?

แม้ “หลอดไฟ” จะดูเป็นอุปกรณ์ชิ้นเล็กในบ้าน แต่การเลือกวัตต์ให้เหมาะสมก็ถือเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะหากเลือกวัตต์ที่ไม่พอเหมาะ อาจทำให้พื้นที่สว่างไม่พอ เกิดบรรยากาศอึมครึม ดูไม่น่าอยู่อาศัย หรือหากเลือกวัตต์สูงเกินไป นอกจากจะเปลืองค่าไฟโดยใช่เหตุแล้ว ยังอาจทำให้พื้นที่ร้อนเกินจำเป็นอีกด้วย

 

วัตต์ของหลอดไฟ LED คืออะไร ?

วัตต์ (Watt) คือหน่วยวัดปริมาณการใช้พลังงานของหลอดไฟ ซึ่งโดยทั่วไป หากวัตต์ยิ่งสูงก็จะยิ่งกินไฟมาก แต่ในกรณีของหลอดไฟ LED ซึ่งเป็นเทคโนโลยีประหยัดพลังงาน วัตต์จะไม่ได้แค่บอกถึงค่าความสว่าง แต่จะสัมพันธ์กับการสร้างบรรยากาศโดยรวมของพื้นที่ด้วย 

 

หลอดไฟ LED ในบ้านควรใช้กี่วัตต์ ?

การเลือกวัตต์ให้เหมาะสมขึ้นอยู่กับขนาดของห้อง ลักษณะการใช้งาน รวมถึงบรรยากาศที่ต้องการ โดยสามารถยึดตามแนวทางคร่าว ๆ ได้ ดังนี้


1. ห้องนอน

ห้องนอนเป็นพื้นที่ที่เน้นความผ่อนคลาย จึงไม่ควรใช้แสงจ้าเกินไป แนะนำให้ใช้หลอดไฟ 7 - 13 วัตต์ ซึ่งให้แสงพอเหมาะ ช่วยสร้างบรรยากาศที่อบอุ่นเหมาะแก่การพักผ่อน โดยเฉพาะเมื่อเลือกโทนแสงวอร์มไวท์ร่วมด้วย

 

2. บริเวณบันได หรือโถงทางเดิน

พื้นที่เหล่านี้เป็นพื้นที่สัญจร ไม่ได้ใช้งานต่อเนื่อง การเลือกวัตต์ระดับกลางประมาณ 7 - 13 วัตต์ จะช่วยประหยัดพลังงาน และไม่แยงตาในยามค่ำคืน โดยเฉพาะถ้าติดตั้งแบบดาวน์ไลท์ LED ฝังฝ้า จะให้ความปลอดภัยและสวยงามโดยไม่รบกวนสายตา

 

3. โคมเฉพาะจุด เช่น โต๊ะทำงาน พื้นที่อ่านหนังสือ

แม้พื้นที่จะเล็ก แต่จำเป็นต้องมีแสงสว่างที่ชัดเจนเพื่อลดอาการล้าสายตา แนะนำให้เลือกวัตต์ระดับกลางประมาณ 7 - 13 วัตต์ พร้อมโคมไฟที่มีทิศทางแสงพุ่งตรง จะช่วยให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถควบคุมความเข้มของแสงเฉพาะจุดได้ดี

 

4. ห้องน้ำ

ห้องน้ำควรมีแสงเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป เช่น ล้างหน้า แต่งหน้า หรือโกนหนวด แต่ไม่จำเป็นต้องสว่างมากเท่ากับพื้นที่ครัว แนะนำหลอดไฟ 10 - 15 วัตต์ แนะนำว่าให้เลือกแสงสีขาวนวล (Cool White) เพื่อให้การมองเห็นที่ชัดเจน เพิ่มความรู้สึกสะอาดตา

 

5. ห้องนั่งเล่น หรือห้องรับแขก

เป็นพื้นที่ใช้งานร่วมกันสำหรับครอบครัว หรือรองรับแขก จึงควรมีแสงที่เพียงพอ แต่ไม่แข็งกระด้างเกินไป แนะนำให้ใช้หลอดไฟ 10 - 18 วัตต์ โดยอาจใช้ร่วมกับโคมไฟแขวน หรือไฟดาวน์ไลท์ LED ติดฝ้า เพื่อกระจายแสงให้ทั่วถึงและดูสวยงาม

 

6. ห้องครัว

พื้นที่ทำอาหารต้องการแสงที่สว่างชัดเจน เพื่อให้สามารถมองเห็นวัตถุดิบ เครื่องครัว และสามารถประกอบอาหารได้อย่างปลอดภัย การเลือกวัตต์สูงขึ้นเล็กน้อยประมาณ 15 - 25 วัตต์ จะช่วยลดเงาและความเสี่ยงในการทำงานลงได้

 

หลอดไฟวัตต์สูง = สว่างกว่า จริงหรือ ?

หลอดไฟที่มีค่าวัตต์สูงไม่ได้ให้แสงสว่างที่มากกว่าเสมอไป เพราะนอกจากค่าวัตต์แล้ว ยังมีค่าที่เรียกว่า ลูเมน (Lumen) ซึ่งใช้วัด “ความสว่างจริง” ที่ออกจากหลอด ยิ่งลูเมนสูง แสงยิ่งมาก ดังนั้นควรดูทั้งสองปัจจัยประกอบกัน โดยเฉพาะเมื่อซื้อหลอด LED เนื่องจากในหลาย ๆ ยี่ห้อ จะระบุค่าลูเมนที่ต่างกันไปแม้จะมีค่าวัตต์ที่เท่ากันก็ตาม 

 

cropped-view-woman-holding-led-fluorescent

นอกจากค่าวัตต์แล้ว ควรพิจารณาอะไรอีกบ้าง ?

ดังที่กล่าวไปว่า การเลือกหลอดไฟ LED ไม่ควรพิจารณาเพียงแค่ค่า “วัตต์” เท่านั้น เพราะวัตต์เป็นเพียงค่าที่บอกถึงการใช้พลังงาน จึงมีปัจจัยอื่นที่ควรพิจารณาร่วมด้วย ดังนี้

 

1. เลือกหลอดไฟในบ้านจากโทนสีของแสง

แสงจากหลอดไฟมีหลายโทน ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อบรรยากาศภายในห้องและความสบายตาของผู้ใช้งาน โดยทั่วไปสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 โทนหลัก ดังนี้


  • แสงวอร์ม (Warm White)

เป็นแสงที่ออกโทนเหลืองนวล ให้ความรู้สึกอบอุ่นและผ่อนคลาย เหมาะสำหรับห้องนอน ห้องนั่งเล่น หรือพื้นที่ที่ต้องการบรรยากาศชวนพักผ่อน โดยมักมีอุณหภูมิสีอยู่ที่ 2,700K - 3,000K และให้ลูเมนอยู่ในช่วงประมาณ 500 - 1,000 ลูเมน ขึ้นอยู่กับขนาดและกำลังวัตต์ของหลอด

  • แสงขาวนวล (Cool White)

มีอุณหภูมิสีอยู่ที่ประมาณ 3,500K - 4,000K ให้ความรู้สึกสะอาด สว่าง แต่ไม่จ้าเกินไป เหมาะสำหรับห้องครัว ห้องน้ำ หรือโถงทางเดิน เพราะช่วยให้เห็นรายละเอียดได้ดีโดยไม่แสบตา ลูเมนของหลอดในโทนนี้จะอยู่ที่ประมาณ 700 - 1,300 ลูเมน

  • แสงขาวสว่าง (Daylight)

เป็นแสงที่ใกล้เคียงกับแสงแดดธรรมชาติที่สุด มีอุณหภูมิสีตั้งแต่ 5,000K - 6,500K เหมาะสำหรับพื้นที่ที่ต้องการแสงชัดเจน เช่น โต๊ะทำงาน ห้องอ่านหนังสือ หรือมุมทำงานเฉพาะจุด ซึ่งจะให้ลูเมนสูงกว่าแบบอื่น โดยอาจเริ่มต้นที่ 800 ลูเมนขึ้นไป

 

2. การเลือกขั้วหลอดไฟให้เหมาะสม

อีกหนึ่งจุดสำคัญที่หลายคนมองข้ามคือ “ขั้วหลอดไฟ” ซึ่งต้องเลือกให้ตรงกับโคมที่มีอยู่ เพื่อความสะดวกและปลอดภัยในการใช้งาน ซึ่งหากเลือกขั้วไม่ตรง อาจทำให้ไม่สามารถติดตั้งหลอดได้ หรือเกิดความเสี่ยงในการใช้งาน จึงควรตรวจสอบให้ดีก่อนซื้อทุกครั้ง โดยขั้วหลอดที่นิยมใช้ในบ้านมีหลายประเภท เช่น

  • E27 เป็นขั้วเกลียวขนาดมาตรฐาน ใช้กับโคมทั่วไป เช่น โคมเพดาน โคมตั้งโต๊ะ
  • E14 เป็นขั้วเกลียวขนาดเล็ก เหมาะกับโคมขนาดเล็กหรือตกแต่งเฉพาะจุด
  • GU10 เป็นขั้วแบบล็อกเสียบ ใช้กับโคมแบบฝัง เช่น ไฟดาวน์ไลท์ติดฝ้า

 

3.  เลือกหลอดไฟที่มีหลายฟังก์ชัน

หลอดไฟ LED รุ่นใหม่ในปัจจุบันไม่ได้ให้แค่ความสว่างเท่านั้น แต่ยังมาพร้อมฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่มากขึ้น โดยจะช่วยเพิ่มความสะดวก ประหยัดพลังงาน พร้อมกับช่วยปรับบรรยากาศภายในบ้านได้อย่างยืดหยุ่นมากขึ้น  เช่น

  • หลอดปรับแสงได้ (Dimmable) ช่วยให้สามารถปรับระดับความสว่างได้ตามต้องการ เหมาะสำหรับห้องนั่งเล่น หรือห้องนอนที่ต้องการบรรยากาศหลากหลาย
  • ระบบควบคุมระยะไกล เช่น รีโมต หรือเชื่อมต่อกับมือถือผ่านแอปพลิเคชัน เพื่อเปิด-ปิดหรือปรับแสงได้สะดวก 
  • Smart LED ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับระบบ Smart Home ควบคุมผ่าน Wi-Fi หรือสั่งงานด้วยเสียง
  • Motion Sensor หลอดที่มีเซนเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหว เปิด-ปิดอัตโนมัติ เหมาะสำหรับบันไดหรือห้องน้ำ เพื่อความสะดวกและประหยัดพลังงาน

 

4. การเลือกรูปทรงของหลอดไฟ

 

หลอดไฟ LED มีหลายรูปทรงเพื่อให้เข้ากับดีไซน์ของบ้านและโคมไฟต่าง ๆ เช่น

  • หลอดทรงกลม ใช้กับโคมทั่วไป เช่น โคมตั้งโต๊ะ โคมติดผนัง
  • หลอดทรงแท่ง (T5, T8) นิยมใช้ในห้องครัว หรือพื้นที่ที่ต้องการแสงยาว ๆ ต่อเนื่อง เช่น เคาน์เตอร์
  • หลอดแคปซูล หรือหลอดเล็ก ใช้กับโคมตกแต่งเฉพาะจุด หรือโคมไฟแบบซ่อนไฟ
  • ดาวน์ไลท์ LED แบบฝังฝ้า เป็นโคมไฟแบบเรียบเนียนติดฝ้า ไม่กินพื้นที่ ให้แสงสว่างกระจายสม่ำเสมอ เหมาะกับบ้านที่เน้นความเรียบหรู หรือสำนักงานที่ต้องการความสว่างแบบมืออาชีพ

 

หากคุณกำลังมองหาโซลูชันแสงสว่างที่สวยงาม เรียบหรู ประหยัดพลังงานในระยะยาว ไม่ว่าจะสำหรับห้องนั่งเล่น ห้องนอน หรือมุมทำงานที่ต้องการบรรยากาศเฉพาะตัว ที่ Boviga มีไฟดาวน์ไลท์ LED ติดฝ้า ที่ให้แสงสว่างนุ่มนวล สม่ำเสมอ เหมาะสำหรับงานตกแต่งภายใน พร้อมติดตั้งได้เรียบเนียนแนบฝ้า ไม่กินพื้นที่ และโคมไฟโมเดิร์น LED เพื่อเพิ่มความโดดเด่นให้กับพื้นที่ด้วยดีไซน์ที่ทันสมัยและวัสดุคุณภาพ โดย Boviga พร้อมตอบโจทย์ทุกโครงการ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน สำนักงาน หรือโรงงานอุตสาหกรรม สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ติดต่อเราได้ที่ Line: @boviga หรือโทร 02-114-3656

 

ข้อมูลอ้างอิง


contact