ในช่วงเวลากลางคืน ไฟถนนไม่ได้มีหน้าที่เพียงให้ความสว่างเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการป้องกันอุบัติเหตุ และเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้ถนนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้ขับขี่หรือผู้เดินเท้า ด้วยเหตุนี้ กรมทางหลวงจึงได้กำหนดมาตรฐานไฟถนน และระดับมาตรฐานความสว่างถนนไว้อย่างชัดเจน เพื่อให้การออกแบบ ติดตั้ง และใช้งานโคมไฟบนถนนเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับเกณฑ์มาตรฐานความสว่างถนนของกรมทางหลวง รวมถึงเทคนิคการติดตั้งและเลือกใช้โคมไฟที่เหมาะสม เพื่อยกระดับความปลอดภัยอย่างแท้จริง
การมีระบบไฟถนนที่ได้มาตรฐานจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้มากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการจราจรหนาแน่นหรือมีสถิติอุบัติเหตุสูง ซึ่งประโยชน์หลักของการติดตั้งไฟถนน ได้แก่
หมายเหตุ:ค่าลักซ์ที่กำหนดจะช่วยให้สามารถออกแบบและเลือกโคมไฟถนนให้เหมาะสมกับลักษณะการใช้งานได้อย่างถูกต้อง
กรมทางหลวงได้กำหนดค่าความสว่างเฉลี่ยของถนนแต่ละประเภท โดยวัดเป็นหน่วย “ลักซ์ (Lux)” ซึ่งหมายถึงปริมาณแสงที่ตกกระทบบนพื้นผิวถนน แบ่งตามลักษณะพื้นที่ใช้งาน ดังนี้
ประเภทถนน |
พื้นที่ในเมือง |
พื้นที่ชานเมือง |
พื้นที่นอกเมือง |
ถนนทางหลวงพิเศษ |
21.5 lux |
15.0 lux |
10.75 lux |
ถนนทางแยก |
21.5 lux |
21.5 lux |
15.0 lux |
ถนนทางหลวงสายหลัก |
21.5 lux |
13.0 lux |
9.7 lux |
ถนนทางหลวงสายรอง |
13.0 lux |
9.7 lux |
6.5 lux |
ถนนท้องถิ่น |
9.7 lux |
6.5 lux |
2.1 lux |
หมายเหตุ:ค่าลักซ์ที่กำหนดจะช่วยให้สามารถออกแบบและเลือกโคมไฟถนนให้เหมาะสมกับลักษณะการใช้งานได้อย่างถูกต้อง
การติดตั้งไฟถนนให้สอดคล้องกับมาตรฐานกรมทางหลวงควรเลือกวิธีการติดตั้งให้เหมาะสมกับลักษณะของถนน โดยสามารถแบ่งได้เป็น 2 รูปแบบหลัก
การติดตั้งโคมไฟถนน เป็นการติดตั้งแบบเรียงต่อเนื่องตลอดเส้นทางในระยะห่างที่เหมาะสมเพื่อให้เกิดค่าความสว่างสม่ำเสมอ ลดจุดมืด และเพิ่มความปลอดภัยขณะขับขี่ในช่วงกลางคืน เหมาะสำหรับถนนที่มีปริมาณการจราจรสูง เช่น ถนนในเมือง ทางหลวงพิเศษ หรือถนนที่มีผู้ใช้จำนวนมาก
การติดตั้งไฟเฉพาะในจุดสำคัญหรือจุดเสี่ยงจะช่วยลดการใช้พลังงานโดยไม่จำเป็น และยังช่วยควบคุมงบประมาณได้ดี โดยยังคงเน้นให้แสงครอบคลุมบริเวณที่มีความเสี่ยงได้อย่างทั่วถึง เหมาะสำหรับจุดที่ต้องการเน้นความปลอดภัยเป็นพิเศษ เช่น จุดทางแยก ทางข้าม ทางเดินเท้า หรือจุดเสี่ยงอื่น ๆ
การออกแบบและติดตั้งไฟถนนที่มีประสิทธิภาพต้องอิงจากปัจจัยด้านเทคนิคและความปลอดภัย ดังนี้
ควรเลือกใช้โคมไฟแบบ LED ที่มีคุณภาพสูง โดยจะต้องมีค่าความสว่าง (Lumen) ตามเกณฑ์ที่กำหนด ที่สำคัญจะต้องเลือกให้เหมาะกับประเภทของถนน เช่น โคมไฟถนน LED 40W - 100W สำหรับถนนสายรอง หรือหลอด LED 100W - 150W สำหรับถนนสายหลักหรือถนนในเมือง
ระยะห่างระหว่างเสาควรสัมพันธ์กับความสูงของเสาไฟ โดยทั่วไปจะอยู่ที่ 3.8-4 เท่าของความสูงเสา เช่น เสาไฟสูง 7 เมตร ควรวางห่างกันประมาณ 26-28 เมตร เพื่อให้แสงสว่างกระจายอย่างทั่วถึงและลดจุดอับแสง
โคมไฟควรได้รับการรับรองตามมาตรฐาน มอก. หรือมาตรฐานสากล เช่น IEC, RoHS เพื่อให้มั่นใจในคุณภาพ อายุการใช้งาน และความปลอดภัย
ควรมีการตรวจสอบ บำรุงรักษา และทำความสะอาดโคมไฟถนนเป็นระยะ เช่น การล้างฝาครอบ การเปลี่ยนหลอดไฟ และตรวจสอบระบบสายไฟ เพื่อรักษาระดับความสว่างให้คงที่อยู่เสมอ
ในยุคที่พลังงานกลายเป็นสิ่งมีค่า การเลือกใช้โคมไฟถนนโซลาร์เซลล์จึงกลายเป็นทางเลือกยอดนิยม โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลหรือบริเวณที่ไม่สามารถเดินสายไฟได้ อีกทั้งโคมไฟถนนโซลาร์เซลล์ยังช่วยประหยัดพลังงาน ลดการปล่อยคาร์บอน และยังสามารถให้ความสว่างได้ตามมาตรฐานความสว่างถนนของกรมทางหลวง
หากคุณกำลังมองหาโคมไฟถนนเพื่อนำไปติดตั้งบริเวณสถานประกอบการ ที่ทั้งประหยัดพลังงานและได้มาตรฐานความสว่างตามเกณฑ์ของกรมทางหลวง ขอแนะนำ โคมไฟถนนสาธารณะและโคมไฟถนนโซลาร์เซลล์จาก Boviga ที่ออกแบบให้ตรงตามมาตรฐานตามข้อกำหนดของกรมทางหลวง เพื่อความปลอดภัยและความคุ้มค่าในระยะยาว ติดตั้งง่าย ประสิทธิภาพสูง พร้อมรับประกันคุณภาพทุกชิ้นส่วน ติดต่อสอบถามหรือขอใบเสนอราคากับผู้เชี่ยวชาญของเราได้ที่ Line: @boviga หรือโทร 02-114-3656
ข้อมูลอ้างอิง